Friday, May 9, 2014

เวลาไปห้าง ทำไมพี่ยามต้องเอากระจกมาส่องใต้รถเรา? เค้าจะหาอะไรกัน?

          11 กันยายน 2001 ขณะที่ผมกำลังนั่งกินมาม่าอยู่สักเวลาประมาณเกือบๆจะสองทุ่ม ทีวีก็ตัดภาพไปที่ข่าวเครื่องบินชนตึกที่นิวยอร์ก ตอนแรกนั้นบ้างก็ว่าเป็นฉากโปรโมตหนังของทางอเมริกา แต่ก็อย่างที่เรารู้กัน นั่นคือการก่อการร้ายครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริการวมถึงโลกใบนี้ด้วย
          ที่ผมเกริ่นเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะว่าเหตุการณ์เครื่องบินชนตึก หรือที่เราเรียกกันว่า 911 (อ่านว่า Nine one one) เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้โลกรับรู้ถึงการก่อการร้าย และทุกประเทศทั่วโลกก็พร้อมใจกันยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็เช่นการที่เราต้องผ่านด่านตรวจมากมายก่อนที่จะขึ้นเครื่องบิน
          ในประเทศไทยนั้นเราก็ตื่นตัวเรื่องการก่อการร้ายกันมากขึ้น โดยเฉพาะในสถานที่สาธารณะต่างๆเช่นห้างสรรพสินค้า สนามบิน หรือสถานที่ราชการ เพื่อนๆคงได้เห็นบ่อยๆถึงเครื่องสแกนวัตถุโลหะที่ติดไว้ตามประตูทางเข้าห้างเพื่อที่จะคอยตรวจดูว่ามีใครนำอาวุธเข้าไปในห้างหรือเปล่า แต่สิ่งหนึ่งที่มากระตุกต่อม HowWhy? ของผมในวันนี้ก็คือ ทำไมพนักงานรักษาความปลอดภัย (หรือที่เรียกกันติดปากว่า ยาม) ต้องเอาไม้พลาสติกยาวๆที่ติดกระจกไว้ที่ปลายด้านล่างคอยส่องใต้ท้องรถเราเวลาเรารับบัตรจอดรถ เค้าต้องการจะส่องหาอะไร?
ที่มา: อ้างอิง : http://www.gatekeepersecurity.com/why-look-under-a-vehicle

Saturday, May 3, 2014

เกลือกับไอติมหลอดเกี่ยวกันยังไง?

          สำหรับคนไทยอย่างเราสิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องเจอเหมือนๆกันก็คืออากาศที่ร้อน โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่อากาศจะร้อนมากจนหลายๆคนต้องหาวิธีการดับร้อนกัน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดแอร์ในบ้าน หรือถ้าไม่อยากเสียค่าไฟฟ้าก็อาจจะเลือกที่จะไปเดินห้างสรรพสินค้า แต่ก็มีอีกวิธีครับที่เราทุกคนก็คงเคยใช้กันมาตั้งแต่ยังเด็กๆก็คือการกินไอติมนั่นเอง ถึงแม้การกินไอติมจะไม่ได้ช่วยให้หายร้อนได้อย่างการตากแอร์แต่ก็ช่วยให้รู้สึกสดชื่นได้ไม่น้อยเลย และเรื่องที่เราจะมาคุยกันวันนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับไอติมนั่นเอง

          ไอติมปกติที่เราเห็นกันในปัจจุบันก็มักจะเป็นไอติมที่ผ่านกรรมวิธีการผลิตมาจากโรงงานแล้วมาบรรจุขายกัน หรือไม่ก็ขายกันเป็น Scoop อย่างที่เวลาเราไปกินที่ร้าน แต่ในสมัยก่อนนั้นยังมีไอติมอีกประเภทครับก็คือไอติมที่ใช้วิธีการทำให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง ซึ่งก็จะไม่ได้มีเนื้อเนียนนุ่มเหมือนกับไอติมในปัจจุบัน แต่จะให้ความรู้สึกเหมือนวุ้นๆสะมากกว่า และไอติมที่ผมกำลังพูดถึงก็คือไอติมหลอดครับ


Wednesday, April 23, 2014

ทำไมซอยเลขคู่กับซอยเลขคี่ถึงอยู่คนละฝั่ง?

            การขับรถในกรุงเทพฯนั้น หลายคนก็คงรู้ดีว่ามีรถมากมายขนาดไหนยิ่งเวลาเร่งด่วนอย่างตอนเช้าและตอนเย็นด้วยแล้ว รถจะเยอะจนแทบจะขยับไปไหนไม่ได้ หนึ่งในวิธีที่ชาวกรุงเทพฯใช้เพื่อหลบเลี่ยงการวิ่งเข้าสู่ถนนเส้นหลักก็คือ การวิ่งในซอยต่างๆลัดไปก็ลัดมา ผมว่าเพื่อนๆก็คงเคยใช้วิธีนี้นะครับ หรือไม่บางทีรถแท็กซี่หรือสามล้อก็ชอบที่จะพาคุณซอกแซกไปตามซอยต่าง พลางให้เราคิดไปว่า มันจะพาเราไปขายหรือเปล่า?”

           วันนี้ผมก็จะหยิบยกเรื่องที่เกี่ยวกับซอยมาเล่าให้เพื่อนๆชาว HowWhy? ฟังกัน เพื่อนๆเคยสังเกตุกันมั๊ยครับว่ากรุงเทพฯเมืองฟ้าอมรของเราเนี่ยมีซอยเยอะมาก สาเหตุหลักๆก็มาจากการที่เราไม่ได้วางผังเมืองกันมาตั้งแต่แรกๆ แต่ก็ไม่เป็นไรชาวกรุงเทพฯก็คงอยู่กันจนชินแล้ว ส่วนหลักการในการตั้งชื่อซอยนั้นโดยปกติก็จะตั้งชื่อซอยเป็นชื่อเดียวกับถนนแล้วนับเลขต่อกันไปเรื่อยๆ เช่น สุขุมวิทซอย1 พหลโยธิน3 ลาดพร้าว71 เป็นต้น (แต่ก็มีซอยอีกประเภทที่ไม่ได้ตั้งตามชื่อถนนแต่ใช้วิธีการตั้งชื่อซอยแทน) แต่สิ่งที่มากระตุกต่อม HowWhy? ของผมก็คือแล้วทำไมถึงต้องจัดให้ซอยเลขคู่อยู่ฝั่งเดียวกัน แล้วก็จัดให้ซอยเลขคี่ไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนน แทนที่จะเรียงซอยไปเรื่อยๆตามการนับเลข
ที่มา: www.pantip.com

Wednesday, April 16, 2014

ทำไมบางประเทศพวงมาลัยอยู่ซ้ายบางประเทศอยู่ขวา?

          ในตอนที่ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวประเทศในยุโรป ในครั้งนั้นก็ไปกันหลายคนครับ การเดินทางด้วยรถไฟระหว่างเมืองนับว่าเป็นเรื่องที่สะดวกมากๆสำหรับประเทศในแถบยุโรป แต่ราคานั้นเอาเรื่องเลยทีเดียว T_T พวกเราก็เลยตัดสินใจที่จะเช่ารถกัน การเช่ารถในยุโรปก็ไม่ยากครับเพียงแค่คุณไปทำใบขับขี่ระหว่างประเทศคุณก็สามารถที่จะเช่ารถที่นู่นขับกันได้แล้ว แต่สิ่งนึงที่ผมก็กล้าๆกลัวๆตอนแรกก็คือ ไอ่ประเทศยุโรปที่จะไปเนี่ยพวงมาลัยรถมันอยู่ทางซ้ายนะสิ (ฝั่งคนนั่งของรถเมืองไทย) แต่พอได้ขับไม่กี่นาทีก็ไม่ได้เป็นปัญหาสักเท่าไร เชื่อว่าเพื่อนๆที่เคยมีโอกาสขับรถพวงมาลัยซ้ายก็คงจะไม่เจอปัญหาการกะระยะเพราะก็ไม่ได้ต่างจากขับขวาสักเท่าไร แต่เรื่องที่สำคัญมันอยู่ตรงนี้ครับ พอเปลี่ยนไปขับพวงมาลัยซ้ายแล้ว ระบบการขับรถก็ต่างกับบ้านเราครับก็คือในบ้านเรานั้นใช้หลัก Keep left rule แปลเป็นไทยได้ว่าหลักชิดซ้าย แปลต่อให้เข้าใจอีกทีก็คือ ประเทศเราขับรถชิดซ้ายครับ ฟุตบาทอยู่ด้านซ้าย เวลาแซงก็แซงขวา แต่ในประเทศยุโรปที่ขับพวงมาลัยซ้ายนั้นเค้ายึดหลัก Keep right rule ครับ เวลาขับก็จะชิดขวา ฟุตบาทอยู่ขวา แล้วก็ขับเร็วจะแซงซ้ายครับ เวลาไปขับก็จะมีงงบ้างเวลาขับเข้าแยกก็จะต้องมองซ้ายขวานานสักหน่อยเพราะงงว่ารถมันจะมาทางไหน ครั้งนึงที่ขับเข้าไปเจอวงเวียนในถนนเล็กๆ พอเข้าวงเวียนปุ๊ปผมหักซ้ายเลยแล้ววนขวา ส่วนรถด้านหลังหักขวาแล้ววนซ้าย ไปได้แค่ครึ่งทางก็รู้ตัวแล้วว่าวนผิด (โชคดีนะเป็นถนนเล็กๆไม่มีรถวิ่งเท่าไร) แทบจะเอาที่บังแดดมาบังหน้าเลยครับ อุตส่าห์ท่องมาตลอดทางว่าชิดขวา ชิดขวา ดันมาตายตรงวงเวียนสะได้ ^_^
ที่มา: www.todayifoundout.com/

Thursday, April 10, 2014

HowWhy? คืออะไร

          ก่อนจะไปรู้จักว่า HowWhy? มาจากไหนเรามารู้จักประวัติของผู้เขียนกันก่อน ผู้เขียนจบปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนได้รับจากการเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ไม่ใช่วิธีการวิเคราะห์เศรษฐกิจหรอกนะครับ แต่เป็นมุมมองในการมองโลกที่เศรษฐศาสตร์สอนให้มองถึงที่มาและที่ไปของสิ่งต่างๆ เมื่อสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นผลของมันจะเป็นอย่างไรและส่งผลต่ออะไร นอกเหนือจากวิชาเศรษฐศาสตร์แล้วสิ่งที่ผู้เขียนสนใจก็คือ จิตวิทยา การเรียนจิตวิทยานั้นช่วยให้พอจะเข้าใจถึงกระบวนการตอบสนองและความคิดของมนุษย์ได้มากขึ้น และสิ่งสุดท้ายที่ผู้เขียนสนใจคือ ทฤษฎีวิวัฒนาการ ซึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสอ่านหนังสือ เรื่องเล่าจากร่างกายที่เขียนโดย นพ.ชัชพล และสิ่งที่ผู้เขียนได้รับจากหนังสือเล่มนี้คือการมองโลกและการหาคำตอบผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของ HowWhy?

                แล้ว HowWhy? คืออะไรกันแน่

          HowWhy? ก็คือการตอบคำถามต่างๆที่ผู้เขียนเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ หรือเป็นเรื่องที่มีคนอยากให้ช่วยหาคำตอบ โดยทุกๆครั้ง HowWhy? จะต้องถามคำถาม 2 อย่างกับสิ่งที่กำลังหาคำตอบว่า สิ่งนั้นมันเกิดขึ้นอย่างไรและมันเกิดขึ้นเพราะอะไร โดยการหาคำตอบนั้นก็จะอิงแนวคิดสามอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น การหาคำตอบแบบ HowWhy? นั้นผู้เขียนพยายามที่จะอ้างอิงข้อมูลจากหลากหลายแห่งเพื่อให้ได้หลากหลายมุมมองสำหรับเรื่องนั้นๆ และนำมาผ่านกระบวนการวิเคราะห์แบบ HowWhy? แต่ในบางเรื่องที่มีคนตอบไว้ดีอยู่แล้วในภาษาอังกฤษผู้เขียนก็จะแปลมาให้เพื่อนๆคนไทยได้อ่านกัน และหวังว่า HowWhy? จะเป็นบทความที่ช่วยเผยแพร่วิธีการมองปัญหาและหาคำตอบจากต้นตอ และเป็นการสร้างฐานความรู้ Online ใหม่ๆสำหรับเพื่อนๆคนไทย

Friday, April 4, 2014

Chapter7: ผู้ล่าคนใหม่

          ในตอนที่ผ่านมาผมได้พูดถึงไดโนเสาร์ที่ต้องสูญพันธุ์ไปเมื่อสภาพแวดล้อมได้เปลี่ยนไป แต่ก็ยังมีสัตว์หลากหลายชนิดที่รอดมาได้ในสถานการณ์ต่างๆและก็วิวัฒนาการแตกสายพันธุ์ไปเรื่อย แต่สัตว์ที่มีชีวิตรอดมาจนถึงปัจจุบันก็ใช่ว่าทุกตัวจะแข็งแกร่งทั้งหมดหรอกนะครับ แต่สัตว์ที่แข็งแกร่งจริงๆและเป็นนักล่าในโลกของปัจจุบันที่เราพอจะนึกได้ก็เช่น ฉลาม สิงโต เสือ จระเข้ เป็นต้น ซึ่งสัตว์เหล่านี้เป็นสัตว์ที่กลายมาเป็นนักล่าในโลกปัจจุบันแทนไดโนเสาร์ และสิ่งที่ผมจะพูดวันนี้ก็คือนักล่าที่เข้ามาแทน Sony นั่นเอง

          ผมคิดว่าชาว HowWhy? คงเดาออกแน่นอนว่าบริษัทที่มาแทน Sony นั้นคือบริษัทอะไร……ใช่ครับ บริษัทที่ว่านั้นก็คือ Samsung

ที่มา: www.hype.my

Saturday, March 29, 2014

Chapter6: เมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป

            ไดโนเสาร์ สิ่งมีชีวิตที่ได้ชื่อว่าเคยเป็นผู้ที่ครองโลกใบนี้มาก่อน ด้วยขนาดที่ใหญ่โตและความสามารถในการล่าจึงทำให้ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นที่จะสามารถเอาชนะเจ้าได้โนเสาร์ได้ ในตอนเด็กๆผมจำได้ครับว่าเคยไปดูการแสดงไดโนเสาร์จำลองที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ความรู้สึกในตอนนั้นก็คือมันดูเหมือนจริงมากและส่วนใหญ่ก็มีขนาดที่ใหญ่กว่ามนุษย์เราทั้งนั้น สิ่งที่ตอนเด็กๆสงสัยก็คือ แล้วทำไมไดโนเสาร์ถึงสูญพันธุ์เท่าที่พอจำได้จากการอ่านหรือเรียนหนังสือก็คือ มีอุกกาบาตพุ่งชนโลกจนทำให้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจนไดโนเสาร์ไม่สามารถที่จะมีชีวิตรอดในสภาวะแบบนั้นได้

          การที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์นั้นก็เป็นไปตามทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ในตอนนั้นคงปฏิเสธไม่ได้ครับว่า ไดโนเสาร์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ผู้ต่อกร แต่ภายใต้ทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ เรารู้แล้วว่าธรรมชาตินั้นไม่ได้เลือกผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เลือกผู้ที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่ธรรมชาติกำหนดให้ต่างหาก ซึ่งเพื่อนๆก็คงจะนึกออกว่ามีสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ปรับตัวและอยู่รอดมาได้นั่นก็คือ แมลงสาบ

ที่มา: www.ebay.com